วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จุดมืดดวงอาทิตย์

จุดมืดดวงอาทิตย์

จุดมืดดวงอาทิตย์เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2547
แผนภาพจำนวนของจุดมืดในรอบ 400 ปี

จุดมืดดวงอาทิตย์ (Sunspot) คือ พื้นที่ส่วนหนึ่งบนผิวดวงอาทิตย์ (โฟโตสเฟียร์) ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณโดยรอบ และมีสนามแม่เหล็กที่มีปั่นป่วนสูงมาก ซึ่งได้ทำให้เกิดการขัดขวางกระบวนการพาความร้อนบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ เกิดเป็นพื้นที่ที่มีความเข้มของแสงต่ำกว่าบริเวณโดยรอบ อย่างไรก็ตาม มันยังคงมีอุณหภูมิสูงถึง 4000-4500 เคลวิน เทียบกับบริเวณปกติโดยรอบที่มีอุณหภูมิประมาณ 5800 เคลวิน ถ้าเรานำจุดมืดออกมาจากดวงอาทิตย์มันจะสามารถเปล่งแสงสว่างได้มากกว่าแสงจากการเชื่อมเหล็ก เสียอีก จุดมืดยังเป็นสาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์บนดวงอาทิตย์อีกมาก เช่น บ่วงโคโรนา (Coronal loop) และ การเชื่อมกันของสนามแม่เหล็ก (Magnetic reconnection) นอกจากนี้การระเบิดใหญ่บนดวงอาทิตย์ (Solar flare) และ การพ่นมวลโคโรนา (Coronal Mass Ejection) ก็ยังเกิดขึ้นในบริเวณสนามแม่เหล็กรอบๆ จุดมืดอีกด้วย

การแปรผันของจุดมืด

จำนวนของจุดมืดมีการเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างเป็นคาบ มีช่วงเวลาหนึ่งรอบประมาณสิบเอ็ดปี นอกจากนี้ยังมีรอบใหญ่ที่มีระยะเวลากว่าอีกด้วย โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2443 ถึงทศวรรษที่ 2503 จะมีจำนวนจุดมืดโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น แต่ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2503 เป็นต้นมาจุดมืดกลับมีแนวโน้มลดลง

จำนวนของจุดมืดยังมีความสัมพันธ์กับการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ (Solar radiation) อีกด้วย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2522 เป็นต้นมา ได้มีการส่งดาวเทียมวัดการแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์ออกสู่อวกาศ และทำให้เราทราบว่า เมื่อจุดมืดมีจำนวนมากจะทำให้การแผ่รังสีของดวงอาทิตย์มีปริมาณลดลง อย่างไรก็ตาม บริเวณโดยรอบจุดมืดกลับมีความสว่างเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่า ในภาพรวมการที่ดวงอาทิตย์มีจุดมืดมากขึ้นจะทำให้ดวงอาทิตย์สว่างมากขึ้น แต่ความสว่างที่เพิ่มขึ้นนี้ก็น้อยมาก แค่ประมาณ 0.1% ของความสว่างตามปกติเท่านั้น

ในระหว่าง ช่วงต่ำสุดมอนเดอร์ ในศตวรรษที่ 17 เป็นช่วงที่แทบจะไม่พบจุดมืดเลย ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับช่วงปีที่เรียกกันว่า "ยุคน้ำแข็งเล็กๆ" (Little Ice Age) ซึ่งอุณหภูมิทั่วโลกลดต่ำกว่าปกติ

การสังเกตจุดมืด

การมองตรงไปที่ดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก และการใช้กล้องสองตา กล้องส่องทางไกล หรือกล้องโทรทรรศน์ส่องดูก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น นั่นคือเรตินาของดวงตาจะถูกทำลายลงอย่างถาวร การใช้แผ่นกระจกรมควันหรือฟิล์มกรองแสงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าจะสามารถลดทอนแสงจากดวงอาทิตย์ลงจนสามารถเห็นจุดมืดได้ก็จริง แต่วิธีนี้จะไม่ได้ลดทอนรังสีอัลตราไวโอเล็ต ซึ่งการรับรังสีนี้เข้าสู่ดวงตาโดยตรงจะมีผลทำให้เป็นต้อกระจกได้ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการสังเกตจุดมืดก็คือการฉายภาพของดวงอาทิตย์ผ่านกล้องโทรทรรศน์ลงบนฉากรับภาพสีขาว ซึ่งต้องกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

ว่านหางจรเข้

ว่านหางจรเข้
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Aloe barbadensis Mill.
วงศ์ : Liliaceae
ชื่อสามัญ : Aloe
ชื่ออื่น : ว่านไฟไหม้ หางตะเข้
ลีกษณะ
:
ไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตร ข้อและปล้องสั้น ใบเดี่ยว เรียงรอบต้น กว้าง 5-12 ซม. ยาว 30-80 ซม. อวบน้ำมาก สีเขียวอ่อนหรือเขียวเข้ม ภายในมีวุ้นใส ใต้ผิวสีเขียวมีน้ำยางสีเหลือง ใบอ่อนมีประสีขาว ดอกช่อ ออกจากกลางต้น ดอกย่อยเป็นหลอดห้อยลงสีส้ม บานจากล่างขึ้นบน ผลเป็นผลแห้ง แตกได้
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้น้ำยางสีเหลืองจากใบเคี่ยวให้แห้งเรียวกว่า ยาดำ เป็นยาระบาย พบว่าเนื่องจากมีสารกลุ่มแอนทราควิโนน แต่พันธุ์ที่ปลูก ในประเทศไทยมีปริมาณน้ำยางน้อย ไม่อาจใช้ในการผลิตยาดำ จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ใช้วุ้นสดของใบปิดขมับแก้ปวดหัว การทดลองกับผู้ป่วยพบว่าวุ้นสดใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลไหม้เกรียมจากแสงแดดและการฉายรังสี แผลสดแผลเรื้อรังตลอดจนกินเพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ดี วิธีใช้ให้เลือกใช้ใบล่างสุดของต้นก่อน ล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออก ล้างน้ำยางสีเหลืองออก ให้หมด เพราะอาจระคายเคืองผิวหนังและทำให้มีอาการแพ้ได้ ขูดเอาวุ้นใสปิดพอกบริเวณแผล หรือฝานเป็นแผ่นบางปิดแผลพันด้วยผ้าพันแผลที่สะอาด เปลี่ยนวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย นอกจากนี้ยังใช้วุ้นเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหลายประเภท เช่นแชมพูสระผม สบู่ ครีมกันแดดเป็นต้น สารที่ออกฤทธิ์เป็นกลัยโคโปรตีนชื่อ aloctin A ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบและเพิ่มการเจริญทดแทนของเนื้อเยื่อที่แผล แต่มีข้อเสียคือสลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน ไม่ควรทิ้งวุ้นสดไว้เกิน

ทดสอบส่งงาน

เเบบทดสอบการส่งงานครั้งที่1 ที่นี่