วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

รักษาโรคด้วยพืชสมุนไพร

รักษาโรคด้วยพืชสมุนไพร
รักษาโรคด้วยพืชสมุนไพร
แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
กระชาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Boesenbergia rotunda (L.) Mansf.
วงศ์ : Zingiberaceae
ชื่ออื่น : กะแอน จี๊ปู ซีฟู เปาซอเร๊าะ เป๊าสี่ระแอน ว่านพระอาทิตย์
ลักษณะ : เป็นไม้ล้มลุกไม่มีลำต้นบนดิน มีเหง้าใต้ดินซึ่งแตกรากออกไปเป็นกระจุกจำนวนมาก อวบน้ำ ตรงกลาลพองกว้างกว่าส่วนหัวและท้าย ใบ เดี่ยว เรียงสลับเป็นระนาบเดียวกัน รูปขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง 4.5-10 เซนติเมตร ยาว 13-15 เซนติเมตร ตรงกลางด้านในของก้านใบมีร่องลึก ดอก ช่อ ออกแทรกอยู่ระหว่างกาบใบที่โคนต้น กลีบดอกสีขาวหรือชมพูอ่อน ใบประดับรูปใบหอกสีม่วงแดง ดอกย่อยบานครั้งละ 1 ดอก
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้เหง้าแก้โรคในปากเช่นปากเปื่อย ปากเป็นแผล ปากแห้ง ขับระดูขาว ขับปัสสาวะ รักษาโรคบิด แก้ปวดมวนท้อง จากการทดลองในสารสกัดแอลกอฮอล์และคลอโรฟอร์ม พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังและในปากได้ดีพอควร
กระเทียมชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium sativum L.วงศ์ : Alliaceae ชื่อสามัญ : Common Garlic , Allium ,Garlic ,ชื่ออื่น : กระเทียม (ภาคกลาง) หอมเทียม (ภาคเหนือ) หอมขาว (ภาคอีสาน) เทียม, หอมเทียม (ภาคใต้)ลักษณะ : ไม่พุ่ม สูง 2-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนาม ใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียว เรียงสลับ รูปไข่ รูปวงรีหรือรูปไข่แกมขอบขนานกว้าง 3-5 ซม. ยาว 4-8 ซม. เนื้อใบมีจุดน้ำมันกระจาย ก้านใบมีครีบเล็ก ๆ ดอกเดี่ยวหรือช่อ ออกที่ปลายกิ่งและที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว กลิ่นหอม ร่วงง่าย ผลเป็นผลสด กลมเกลี้ยง ฉ่ำน้ำประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้น้ำมะนาวและผลดองแห้งเป็นยาขับเสมหะแก้ไอ แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เพราะมีวิตามินซี น้ำมะนาวเป็นกระสายยาสำหรับสมุนไพรที่ใช้ขับเสมหะเช่นดีปลี
กระเพราชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum sanctum L. วงศ์ : Labiataeชื่ออื่น : กอมก้อ กอมก้อดง กะเพราขาว กะเพราแดงลักษณะ : กะเพรามี 3 พันธุ์ คือ กะเพราแดง กะเพราขาวและกะเพราลูกผสมระหว่างกะเพราแดงและกะเพราขาว มีลักษณะทั่วไปคล้ายโหระพา ต่างกันที่กลิ่นและกิ่งก้านซึ่งมีขนปกคลุมมากกว่าใบกะเพราขาวสีเขียวอ่อน ส่วนใบกะเพราแดงสีเขียวแกมม่วงแดง ดอกย่อยสีชมพูแกมม่วง ดอกกะเพราแดงสีเข้มกว่ากะเพราขาวประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้ใบหรือทั้งต้นเป็นยาขับลมแก้ปวดท้อง ท้องเสีย และคลื่นไส้อาเจียน นิยมใช้กะเพราแดงมากกว่ากะเพราขาว โดยใช้ยอดสด 1 กำมือ ต้มพอเดือด ดื่มเฉพาะส่วนน้ำ พบว่าฤทธิ์ขับลมเกิดจากน้ำมันหอมระเหย การทดลองในสัตว์ แสดงว่าน้ำสกัดทั้งต้นมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สารสกัดแอลกอฮอล์สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร สาร eugenol ในใบมีฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมันและลดอาการจุกเสียด
แก้ท้องผูก
ขี้เหล็ก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia siamea Britt.
วงศ์ : Leguminosae
ชื่อสามัญ : Cassod Tree / Thai Copper Pod
ชื่ออื่น ขี้เหล็กแก่น ขี้เหล็กบาน ขี้เหล็กหลวง ขี้เหล็กใหญ่
ลักษณะ : ไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับใบย่อยรูปขอบขนาน กว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาว 4 ซม. ใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลแกมเขียว ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีเหลือง ผลเป็นฝักแบนยาวและหนา
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้ดอกเป็นยานอนหลับ ลดความดันโลหิตดอกตูมและใบอ่อนเป็นยาระบาย ใบแก้ระดูขาว แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก่นแก้ไข้ ทำให้นอนหลับ รักษากามโรค ใบอ่อนและแก่นมีสารกลุ่มแอนทราควิโนนหลายชนิด จึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายใช้ใบอ่อนครั้งละ 2-3 กำมือ ต้มกับน้ำ 1-1.5 ถ้วย เติมเกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว นอกจากนี้ในใบอ่อนและดอกตูมยังพบสารซึ่งมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางทำให้นอนหลับโดยใช้วิธีดองเหล้าดื่มก่อนนอน
ชุมเห็ดเทศชื่อวิทยาศาสตร์ : Senna alata L. วงศ์ : Leguminosaeชื่อสามัญ Ringworm Bushชื่ออื่น : ขี้คาก ลับมีนหลวง หมากกะลิงเทศ ชุมเห็ดใหญ่ลักษณะ : ไม้พุ่ม สูง 1 - 3 เมตร แตกกิ่งออกด้สนข้าง ในแนวขนานกับพื้น ใบประกอบ แบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยรูปขอบขนาน รูปวงรีแกมขอบขนาน หรือรูปไข่กลับ กว้าง 3-7 ซม. ยาว 6-15 ซม. หูใบเป็นรูปสามเหลี่ยม ดอกช่อ ออกที่ซอกใบตอนปลายกิ่ง กลีบดอกสีเหลืองทอง ใบประดับ สีน้ำตาลแกมเหลืองหุ้มดอกย่อยเห็นชัดเจน ผลเป็นฝัก มีครีบ 4 ครีบ เมล็ดแบน รูปสามเหลี่ยม ประโยชน์ทางสมุนไพร : รสเบื่อเอียน ใบตำทาแก้กลากเกลื้อน โรคผิวหนัง ดอกและใบต้มรับประทานแก้อาการท้องผูก มีสาร แอนทราควิโนน กลัยโคซายด์ หลายชนิด ได้แก่ emodin, aloe - emodin และ rhein ใช้เป็นยาระบายกระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้บีบตัว การทดลองในสัตว์ และคน พบว่า ใบแก่มีฤทธิ์ น้อยกว่าใบอ่อน นอกจากนี้น้ำจากใบ ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วย
แก้ไอ มีเสมหะ
มะนาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus aurantifolia Swing.
วงศ์ : Rutacear
ชื่อสามัญ : Lime
ชื่ออื่น : ส้มมะนาว
ลักษณะ : ไม่พุ่ม สูง 2-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนาม ใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียว เรียงสลับ รูปไข่ รูปวงรีหรือรูปไข่แกมขอบขนานกว้าง 3-5 ซม. ยาว 4-8 ซม. เนื้อใบมีจุดน้ำมันกระจาย ก้านใบมีครีบเล็ก ๆ ดอกเดี่ยวหรือช่อ ออกที่ปลายกิ่งและที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว กลิ่นหอม ร่วงง่าย ผลเป็นผลสด กลมเกลี้ยง ฉ่ำน้ำ
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้น้ำมะนาวและผลดองแห้งเป็นยาขับเสมหะแก้ไอ แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เพราะมีวิตามินซี น้ำมะนาวเป็นกระสายยาสำหรับสมุนไพรที่ใช้ขับเสมหะเช่นดีปลี
ดีปลี
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper chaba Hunt
วงศ์ : Piperaceae
ชื่อสามัญ : Long Pepper
ชื่ออื่น :
ลีกษณะ : ไม้เถารากฝอยออกบริเวณข้อเพื่อใช้ยึดเกาะ ใบเดี่ยวรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 3-5 ซม. ยาว 7-10 ซม. สีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ ดอกย่อยอัดกันแน่น แยกเพศ ผลเป็นผลสด มีสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง รสเผ็ดร้อน
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุกตากแห้งเป็นยาขับลม บำรุงธาตุ แก้ท้องเสีย ขับรกหลังคลอด โดยใช้ผล 1 กำมือ (ประมาณ 10-15 ผล) ต้มเอาน้ำดื่ม นอกจากนี้ใช้เป็นยาแก้ไอ โดยเอาผลแห้งครึ่งผลฝนกับมะนาวแทรกเกลือใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ ฤทธิ์ขับลมและแก้ไอ เกิดจากน้ำมันหอมระเหยและสาร piperine พบว่าสารสกัดเมทานอลมีผลยับยั้งการบีบตัวของลำไส้เล็กและสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์ ทำให้สัตว์ทดลองแท้ง จึงควรระวังการใช้ในสตรีมีครรภ์
แก้ขัดเบา
กระเจี๊ยบแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus sabdariffa L.
วงศ์ : Malvaceae
ชื่อสามัญ : Roselle
ชื่ออื่น : กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ย ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง
ลักษณะ : ไม้พุ่ม สูง 50-180 ซม. มีหลายพันธุ์ ลำต้นสีม่วงแดง ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ 3 หรือ 5 แฉก กว้างและยาวใกล้เคียงกัน 8-15 ซม. ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลางดอกสีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลเป็นผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้ใบและยอดอ่อนซึ่งมีรสเปรี้ยวแก้ไอ เมล็ดบำรุงธาตุ ขับปัสสาวะ มีรายงานการทดลองในผู้ป่วยโรคนิ่วในท่อไต ซึ่งดื่มยาชงกลีบเลี้ยงแห้งของผล 3 กรัมในน้ำ 300 ซีซี วันละ 3 ครั้ง ทำให้ถ่ายปัสสาวะสะดวกขึ้น บางรายนิ่วหลุดได้เอง นอกจากนี้ทำให้ผู้ป่วยกระเพาะปัสสาวะอักเสบมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะน้อยลง
ตะไคร้
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon citratus Stapf
วงศ์ : Gramineae
ชื่ออื่น : ชื่อสามัญ : Lemon Grass
ชื่ออื่น : จะไคร ไคร
ลักษณะ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 0.75-1.2 เมตร แตกเป็นกอ เหง้าใต้ดินมีกลิ่นเฉพาะ ข้อและปล้องสั้นมาก กาบใบสีขาวนวลหรือขาวปนม่วง ยาวและหนาหุ้มข้อและปล้องไว้แน่น ใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้าง 1-2 ซม. ยาว 70-100 ซม. แผ่นใบและขอบใบสากและคม ออกดอกยาก
ประโยชน์ทางสมุนไพร : โคนกาบใบและลำต้นทั้งสดและแห้งมีน้ำมันหอมระเหย ตำรายาไทยใช้เป็นยาขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อแน่นจุกเสียดใช้ลำต้นแก่สดประมาณ 1 กำมือ (40-60 กรัม) ทุบพอแหลก ต้มน้ำพอเดือดหรือชงน้ำ ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร นอกจากนี้ใช้เป็นยาขับปัสสาวะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการขัดเบาหรือปัสสาวะไม่คล่อง โดยผู้ป่วยต้องไม่มีอาการบวมที่แขนและขา พบว่าน้ำมันตะไคร้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย
หญ้าหนวดแมว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Orthosiphon grandiflorus Bolding
วงศ์ : Labiatae
ชื่อสามัญ : Cat's Whisker
ชื่ออื่น : พยับเมฆ
ลักษณะ : ไม้พุ่ม สูง 0.5-1 เมตร กิ่งและก้านสี่เหลี่ยมสีม่วงแดง ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่แกมสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด กว้าง 2-4 ซม. ยาว 4-7 ซม. ขอบใบหยักฟันเลื่อย ดอก ช่อ ออกที่ปลายกิ่ง มี 2 พันธุ์คือพันธุ์ดอกสีขาวและพันธุ์ดอกสีม่วงน้ำเงิน เกสรตัวผู้ยื่นพ้นกลีบดอกออกมายาวมาก ผล เป็นผลแห้งไม่แตก รูปรีขนาดเล็ก
ประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้ทั้งต้นเป็นยาขับปัสสาวะ แก้โรคปวดตามสันหลังและบั้นเอว ใบเป็นยารักษาโรคเบาหวานและลดความดันโลหิต มีการทดลองใช้ใบแห้งเป็นยาขับปัสสาวะ ขับกรดยูริคซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเกาด์และรักษาโรคนิ่วในไตกับผู้ป่วยโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยใช้ใบแห้งประมาณ 4 กรัม ชงกับน้ำเดือด 750 ซีซี ดื่มต่างน้ำตลอดวัน ได้ผลเป็นที่น่าพอใจของแพทย์ พบว่าในใบมีเกลือโปแตสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคหัวใจไม่ควรใช้

ไม้ยืนต้นที่ให้ดอก

กระดังงา
เป็นไม้ต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดรูปกรวยแหลม โปร่ง กิ่งเกือบตั้งฉากกับลำต้น ปลายกิ่ง ลู่ลงดิน
ดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอม ออกตามซอกใบ ออกดอกตลอดทั้งปี ผลเป็นผลกลุ่ม เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนสีจากสีเหลือง อมเขียว เป็นสีเหลืองและสีดำ ผลหนึ่งมี 4 - 5 เมล็ด เมล็ดกลมแบน
ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดหรือกิ่งตอน กระทุ่มนา
เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงประมาณ 5 เมตร เรือนยอดแหลม ใบใหญ่ค่อนข้างกลม ออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน เนื้อใบค่อนข้างหนา
ออกดอกเป็นช่อกลมตามปลายกิ่ง แต่ละช่อมีกาบรองดอกใหญ่อยู่ 1 คู่ กลีบรองดอกเป็นหลอดปลายแยกกันเป็น 5 แฉก กลีบดอกโคนกลีบติดกันเป็นหลอดปลายหลอดแยกเป็น 5 แฉก เกสรตัวผู้มี 5 อัน ติดที่กลีบดอกด้านใน ผลเล็ก ผิวแข็ง อัดรวมกันกลม เมล็ดมีปีก ออกดอกในเดือนสิงหาคมกึงกันยายน
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด กฤษณา
เป็นไม้ต้นขนาดกลางสูงประมาณ 10-15 เมตร ลำต้นเปลา ตรง เรือนยอดเป็นพุ่มทรงเจดีย์ต่ำ เปลือกเรียบสีเทา ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว มีสัญฐานรี แถบขอบขนาน ปลายใบแหลม ออกเรียงสลับกัน ผิวใบเป็นมัน
ดอกสีเหลืองมีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อเล็ก ๆ เป็นกระจุกตามง่ามใบและปลายกิ่ง ผลรูปทรงรีกลมแบน เปลือกแข็งมีขนสีเทา เมื่อผลแก่จะแตกกลีบรองดอกเจริญติดอยู่กับผล
ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด กาฬพฤกษ์
เป็นต้นไม้ผลิดใบสูงประมาณ 20 เมตร โคนต้นมีพูพอน เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกสีดำแตกเป็นร่องลึก ใบเป็นประเภทใบประกอบ จำนวน 10-20 คู่ ใบออ่นจะออกสีแดง ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน หลังใบมีขนนุ่ม โคนและปลายใบมนกลม
ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งข้าง ช่อหนึ่งมีประมาณ 20 ดอก ดอกมีขนาดเล็ก กลีบรองดอกกลมมีขน ขณะที่ดอกบานกลีบจะกระดกกลับ กลีบดอกรูปไข่ เมื่อดอกบานใหม่ ๆ จะเป็นสีแดง จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูและสีส้ม เกสรตัวผู้มี 10 อัน ขนาดไม่เท่ากัน ฝักแข็ง กลม ผิวขรุขระสีดำ ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ประมาณ 30 เมล็ด ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด กันเกรา
เป็นไม้ต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร เปลือกหยาบสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก ใบมีสัญฐานรูปรี ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ปลายและฐานใบแหลม ใบหนา
ออกดอกเป็นกระจุกบนก้านช่อสั้น ๆ เมื่อดอกเริ่มบานออกสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กลิ่มหอม ผลกลมเล็กสีส้ม เมื่อผลสุกจะออกสีแดง เมล็ดขนาดเล็ก ออกดอกเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม กันเกราจะขึ้นตามป่าเบญจพรรณชื้น และตายที่ใกล้น้ำ
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด กัลปพฤกษ์
เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลางสูงประมาณ 12 เมตร เปลือกสีเทา เรือนยอดแผ่กว้างทุกส่วนมีขนปกคลุมหนาแน่น ใบเป็นประเภทในประกอบมีใบย่อย 5-7 คู่ ใบย่อยรูปขอบขนาน มีขนอ่อนทั้งหน้าและหลังใบ
ดอกสีชมพูเข้มออกเป็นช่อ ตามกิ่งแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาว จะออกดอกหลังการผลัดใบพร้อมผลิใบใหม่ ผลเป็นฝักเมื่อฝักแก่จะออกสีน้ำตาลเข้ม ฝักยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ประมาณ 30-40 เมล็ดต่อฝัก
ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ชอบขึ้นตามป่าเขาหินปูน และป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด กุ่มน้ำ
เป็นต้นไม้สูงประมาณ 5-12 เมตร เรือนยอดแผ่กระจาย หรือรูปทรงกลม ใบเป็นประเภทใบประกอบแบบนิ้วมือ ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ ปลายใบย่อยแหลมเรียว ใบจะร่วงหมดต้นขณะมีดอก ดอกสีเหลืองนวล เกสรสีม่วง ผลรูปกลม หรือรูปไข่สีเทา ผิวนอกแข็งและสาก พบตามริมน้ำทั่วไป
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดกุ่มบก
เป็นต้นไม้สูงประมาณ 5-12 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบหรือรูปทรงกลม ใบเป็นแบบใบประกอบแบบนิ้ว มือประกอบด้วย ใบย่อย 3 ใบ ปลายใบย่อยป้าน ใบจะร่วงหมดต้นขณะมีดอก
ดอกสีเหลือง เกสรสีม่วง ผลรูปกลมรี พบตามป่าเบญพรรณทั่วไป หรือตามที่ดอน
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

ไม้ดอกชนิดเป็นเถา

การเวก
เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ กิ่งก้านค่อนข้างเรียบ มีขนมากเฉพาะที่ตาและยอดอ่อน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวเรียงสลับกัน สัณฐานของใบเป็นรูปรีหรือรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ
ออกดอกเป็นช่อๆ ละ 1-5 ดอก ก้านช่อดอกแบนและโค้งคล้ายขอ ออกตรงข้ามกับด้านใบ ดอกมีขนาดใหญ่สีเขียวมีขนมาก เมื่อดอกแก่จะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบ มีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กสีเขียว ปลายกลีบกระดกขึ้น กลีบดอกเป็นรูปไข่รียาว เรียงเป็น 2 ชั้น ๆ ละ 3 กลีบ มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก เกสรตัวเมียหลายอันอยู่แยกกัน ผลรูปรีป้อมหรือรูปไข่กลับ ออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4-20 ผล เมื่อผลแก่จะเป็นสีเหลือง ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งหรือเพาะเมล็ดคิ้วนาง
เป็นไม้เถามีมือเกาะกิ่งอ่อน มีขนสีน้ำตาล ใบเว้าผ่ากลางเป็น 2 ซีก คล้าบใบย่อย 2 ใบ ใบมีสัณฐานเป็นรูปไข่เบี้ยว ปลายกลม ดอกมีขนาดใหญ่สีขาว เมื่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 15 เซนติเมตร
ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกออกดกมากและจะทะยอยกันบานวันละ 1-3 ดอก ดอกมี 5 กลีบ ร่วงง่าย เกสรตัวผู้มี 10 อัน ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ชูอับเรณูขึ้นเหนือกลีบดอกเห็นได้ชัด ฝักยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ออกดอกประมาณเดือนสิงหาคม-มกราคม ชอบขึ้นตามป่าผลัดใบ และป่าโปร่งบนภูเขาหินปูนในภาคกลาง และภาคตะวันออก
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่งชมนาค
เป็นไม้เถาเลื้อย เถาแข็งใบใหญ่ ผิวใบเป็นมันเรียบ ปลายใบแหลม ใบสีเขียวแก่ ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร
ออกดอกตามกิ่งข้างหรือปลายเป็นช่อ ช่อหนึ่งมีประมาณ 12 ดอก ดอกสีขาวอมเขียวมีกลิ่นหอม ดอกมีกลีบติดกันเป็นถ้วยตื้น ๆ ปลายแยกจากกันเป็นแฉกตื้น ๆ เกสรตัวผู้มี 5 อันติดกัน กลางดอกเป็นรูปศร ดอกโตประมาณ 1 เซนติเมตร
ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่งหรือการตอน ดองดึง
เป็นไม้เถาเล็ก มีหัวใต้ดิน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว ออกตามข้อ 1-3 ใบ ใบมีสัณฐานเป็นรูปหอกค่อนข้างยาว ปลายใบเรียวแหลมและโค้งงอเป็นมือเถา โคนใบกว้าง ไม่มีก้านใบ
ดอกใหญ่สีแดง เหลือง ออกตามง่ามใบใกล้ยอด ก้านดอกยาว ดอกมี 6 กลีบ รูปร่างยาวแคบ ขอบกลีบเป็นคลื่นไม่เรียบ ปลายกลีบโค้งกว้างลงมาทางก้านดอก เกสรตัวผู้มี 6 อัน ยาวชี้ออกเป็นรัศมีตามแนวนอน ท่อรังไข่ยาว ปลายแยกออกเป็นแฉกเล็ก ๆ 3 แฉก ผลเป็นฝักยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือแยกเหง้า เถาไฟหรือโยธกาเลื้อย
เป็นไม้เถาขนาดใหญ่ มีมือเกาะ ตามกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวเรียงสลับกัน มีสัณฐานรูปไข่กว้างหรือค่อนข้างกลม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ปลายใบเว้าตื้นบ้างลึกบ้าง ปลายใบแฉกแหลมหรือกลม ก้านใบยาวประมาณ 3 เซนติเมตร
ออกดอกเป็นช่อ ดอกสีส้มแดง มีขน ดอกตูมกลมปลายแหลมมน กลีบเลี้ยงแยกเป็น 2-3 แฉก กลีบดอกมี 5 กลีบ รูปไข่ยาว ประมาณ 1 เซนติเมตร ด้านนอกมีขน เกสรตัวผู้มี 3 อัน ก้านเกสรเล็กยาวกว่ากลีบดอกเล็กน้อย เกสรตัวผู้ฝ่อมี 2 อันเล็ก รังไข่มีขน ฝักรูปบันทัดยาวประมาณ 17 เซนติเมตร
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง โนรา
เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง รอเลื้อย. ถ้าปลูกกลางแจ้งอาจจะเป็นไม้พุ่ม ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ตรงข้ามกัน สีเขียวเข้ม
ดอกออกเป็นช่อ ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร สีขาว หรือสีชมพูอ่อน กลีบบนเป็นสีเหลืองมะนาว กลิ่นหอม ดอกจะบานอยู่ ประมาณ 3 วันก็ร่วง แต่จะมีดอกใหม่ทะยอยกันบานตามลำดับ ผลเป็นปึกประกบกันเป็น 3 มุม สีน้ำตาล ออกดอก ประมาณเดือนธันวาคม
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำหรือตอนกิ่ง ปันหยี
เป็นไม้เถา เถากลมเกลี้ยงเป็นมัน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ขนาดกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร รูปทรงป้อมปลายแหลม โคนป้าน ขอบใบเรียบ สีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีอ่อน ก้านใบสั้น
ดอกออกเป็นช่อเล็ก ๆ ช่อละ 2-3 ดอก สีขาว ออกตามง่ามใบ มีกลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๆ สีเขียวอ่อน โคนดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก ๆ ส่วนปลายดอกเป็นกลีบ แยกออกเป็น 8-9 กลีบ เรียงซ้อนกัน ดอกเมื่อบานเต็มที่กว้างประมาณ 7 เซนติเมตร
ออกดอกประมาณเดือนมกราคม
ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำหรือการตอน พวงคราม
เป็นไม้เถา กิ่งก้านเรียวเล็ก ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ มีสัณฐานรี กว้างประมาณ 3-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6-18 เซนติเมตร ปลายแหลมโคนสอบแคบ ขอบใบเรียบ
ดอกออกเป็นช่อ ห้อยย้อยตามง่ามใบ สีม่วง หรือ สีม่วงคราม โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก เกสรตัวผู้มี 4 อัน
ออกดอกใบฤดูหนาวและแห้งโดยจะทิ้งใบหมด
ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่งหรือการตอน พวงชมพู
เป็นไม้เถาเลื้อยพันโดยอาศัยมือเกาะ ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวเรียงสลับกัน มีสัณฐานรูปไข่ หรือรูป สามเหลี่ยมปลายแหลม โคนใบเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบเส้นใบเห็นได้ชัด
ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอดหรือตามง่ามใบ ดอกมี 5 กลีบ สีชมพู หรือสีขาว ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและการชำกิ่ง
ไม้ดอกชนิดเป็นพุ่ม
กรรณิการ์
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ลำต้นและกิ่งเป็นเหลี่ยม ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวออกเป็นคู่ เรียงตรงข้าม ใบทรงรูปไข่ ขอบใบเรียบหรือมีจักเล็กน้อย
ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง เป็นดอกเดี่ยวมีโคนกลีบติดกัน มีลักษณะเป็นหลอดสีส้ม กลีบดอกแคบ ปลายกลีบสีขาวและไม่เสมอกัน จะมีกลิ่นหอมตอนกลางคืน และดอกจะร่วงหมดในตอนเช้า ผลมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ภายในมีเมล็ดอยู่ 2 เมล็ด
ขยายพันธุ์โดยการตอนหรือปักชำ กระดังงาสงขลา
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวยาว กลีบรองดอกมีสามกลีบ สีเขียว มีขนาดสั้น กลีบใบเรียวสองชั้น ชั้นนอกมี 5 กลีบ ชั้นในมี 15 กลีบ ปลายกลีบเรียวแหลมโคนกลีบด้านในมีแต้มสีน้ำตาล ที่ฐานกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียติดอยู่
กระดังงา ออกดอกตลอดปี มีกลิ่นหอมอบอวล
ขยายพันธุ์ด้วยการตอน กระดุมทอง
เป็นไม้ล้มลุกพุ่มเตี้ย สูงประมาณ 50 เซนติเมตร ลำต้นมีขนทึบใบเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม สัณฐานใบเป็นรูปไข่ หรือรูปรีกว้าง ใบกว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ปลายแหลมโคนสอบ ขอบเรียบหรือหยักซี่ฟัน ผิวใบมีขนสากทั้ง 2 ด้าน เส้นแขนงใบข้างละ 1 เส้น ก้านใบสั้นมีครีบ มีขนตามก้านใบและขอบครีบ ช่อดอกแบบช่อกระจุก
ออกดอกเดี่ยว ๆ หรือออกเป็นคู่ ตามง่ามใบใกล้ยอดดอกโตประมาณ 3 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 1-8 เซนติเมตร โคนช่อมีใบประดับมีขนเรียงกันถี่ โคนใบประกอบชั้นนอกใหญ่ขึ้นเมื่อดอกร่วงไป ดอกวงนอกเป็นดอกตัวเมีย มีประมาณ 10 ดอก กลีบดอกสีเหลืองรูปรี กว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร รังไข่เล็ก ดอกวงในเหมือนดอกตัวเมีย แต่รังไข่ไม่สมบูรณ์ ดอกตัวผู้มีขนาดเล็กมากและเป็นหมัน อยู่กลางกระจุกดอก ผลมีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยม ยอดแบน เมล็ดเล็กสีดำเป็นมัน ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด กาหลง
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 3 เมตร ใบเป็นแบบใบเดี่ยว รูปไข่ ปลายเว้าลึกคล้ายใบแฝด
ดอกขาวออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งและกิ่งข้าง ดอกกาหลงมีกลีบ 5 กลีบ เกสร 10 อัน ขนาดต่าง ๆ กัน มีกลิ่นหอมรวยริน ฝักแบนมีเมล็ดประมาณ 5-10 เมล็ด
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและการตอน กาหลงออกดอกได้ตลอดปี กุหลาบ
เป็นไม้พุ่มตั้งหรือเลื้อย ใบเป็นใบประกอบ ประกอบด้วย 3 ใบ หรือ 5 ใบ ขอบใบจัก หูใบติดกับก้านใบหรือเป็นอิสระ
ดอกออกที่ปลายกิ่ง มีทั้งดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ กลีบรองดอกเป็นรูปถ้วยสีเขียว ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกปกติมี 5 กลีบ เกสรตัวเมียอยู่กลางดอกเป็นผลกลม ภายในมีเมล็ดแข็งจำนวนมาก เกสรตัวผู้มีอยู่เป็นจำนวนมาก กุหลาบมีหลายชนิด หลายพันธุ์ ส่วนใหญ่ดอกมีกลิ่นหอมเย็น
การขยายพันธุ์มีหลายแบบ เช่น เพาะเมล็ด ตอน ติดตา และปักชำ

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา (กระบี่)

ข้อมูลทั่วไป
คำว่า “ลันตา” แผลงมาจากคำว่า “ลันตัส” ซึ่งเป็นภาษาชวา มีความหมายว่า “ผลาย่างปลา” ซึ่งก็คือ ที่ย่างปลาสร้างด้วยไม้ รูปสี่เหลี่ยมยกพื้นสูงขึ้นคล้ายโต๊ะ จุดไฟไว้ข้างล่าง เผาปลาที่เรียงไว้ข้างบน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตามีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลตั้งอยู่ในทะเลอันดามัน ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยที่สวยงามจำนวนมาก อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ป่าชายหาด ป่าชายเลน แนวเขตปะการังที่สมบูรณ์และหาดทรายรอบเกาะต่างๆ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตามีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 83,750 ไร่ หรือ 134 ตารางกิโลเมตร
ในปี 2530 มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือลงวันที่ 26 สิงหาคม 2530 แจ้งให้กรมป่าไม้ทราบว่า บริเวณเกาะรอกนอกและเกาะรอกใน ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลอันดามันระหว่างจังหวัดกระบี่และจังหวัดตรัง เป็นเกาะที่สวยงามอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งป่าไม้ สัตว์ป่า เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และสัตว์ทางทะเลอีกหลายชนิด เป็นแหล่งปะการังที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง กำลังถูกทำลายอย่างหนักในหลายรูปแบบ และมีผู้เข้าไปจับจองที่ดินเพื่อสร้างบังกะโล ขยายพื้นที่การท่องเที่ยวเข้าไป สมควรที่กรมป่าไม้จะต้องดำเนินการป้องกัน โดยผนวกพื้นที่ดังกล่าวเข้าเป็นเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี หรือที่อื่นๆ ตามแต่กรมป่าไม้จะเห็นสมควร และในเรื่องนี้ นายชวน หลีกภัย ผู้แทนราษฎรจังหวัดตรังและประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้มีหนังสือด่วนมากที่ 190/2530 ลงวันที่ 2 กันยายน 2530 ร้องเรียนให้กรมป่าไม้ให้ความสนใจและจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปทำการสำรวจสภาวะของเกาะทั้งสองเป็นการด่วน เพื่อพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการอนุรักษ์
กรมป่าไม้ โดยกองอุทยานแห่งชาติจึงได้มีคำสั่งที่ 1733/2530 ลงวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2530 ให้ นายมาโนช วงษ์สุรีย์รัตน์ นักวิชาการป่าไม้ 5 ปฏิบัติงานทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ไปดำเนินการสำรวจเบื้องต้นบริเวณเกาะรอกใน เกาะรอกนอก เกาะไหง และเกาะใกล้เคียงในท้องที่จังหวัดกระบี่และจังหวัดตรัง ซึ่งคณะสำรวจโดยนายมาโนช วงษ์สุรีย์รัตน์ นางสาวรัตนา ลักขณาวรกุล นางสาววสา สุทธิพิบูลย์ กองอุทยานแห่งชาติ และคณะเจ้าหน้าที่ ได้ทำการสำรวจระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน 2531 ได้ผลสรุปว่า บริเวณดังกล่าวมีสภาพธรรมชาติที่สมบูรณ์สวยงามควรอนุรักษ์ไว้ ซึ่งได้มีรายงานผลการสำรวจตามหนังสือที่ กษ 0713 (อท)/พิเศษ ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2531 และในระหว่างนั้นกรมป่าไม้ได้มีคำสั่งที่ 1736/2531 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2531 ให้ นายวิทยา หงษ์เวียงจันทร์ นักวิชาการป่าไม้ 4 กองอุทยานแห่งชาติ ไปทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเกาะรอก-เกาะไหง และให้ดำเนินการสำรวจจัดตั้งพื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ และที่ประชุมหัวหน้าฝ่ายกองอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2531 โดย นายธำมรงค์ ประกอบบุญ ผู้อำนวยการกองอุทยานแห่งชาติ เป็นประธานในที่ประชุม ได้พิจารณาผลการสำรวจเบื้องต้นบริเวณเกาะรอก-เกาะไหง และบริเวณใกล้เคียง มีมติเห็นสมควรจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งใหม่
กองอุทยานแห่งชาติได้มีหนังสือด่วนที่สุดที่ กษ 0713/1191 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2531 ขอความเห็นชอบกรมป่าไม้ ให้อุทยานแห่งชาติดำเนินการก่อสร้างที่ทำการและบ้านพักบริเวณแหลมโตนด อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ต่อไป และได้มีหนังสือที่ กษ 0713/202 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2532 เสนอกรมป่าไม้ขอความเห็นชอบนำเรื่องการจัดตั้งอุทยานแห่งนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติพิจารณาต่อไป ซึ่งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2532 และได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินเกาะไม้งามใต้ เกาะตะละเบ็ง เกาะลันตาใหญ่ เกาะไหง เกาะตุกนลิมา เกาะรอกนอก เกาะรอกใน เกาะหินแดง และเกาะใกล้เคียง ในท้องที่ตำบลเกาะกลาง ตำบลเกาะลันตาน้อย และตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 134 ตารางกิโลเมตร เป็นอุทยานแห่งชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 107 ตอนที่ 146 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2533 นับเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่ 62 ของประเทศไทย
อุทยานแห่งชาติเกาะรอก-เกาะไหงได้มีหนังสือที่ กษ 0713(กร)/8 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2532 ว่า พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติประกอบด้วยเกาะลันตาใหญ่ เกาะรอก เกาะไหง และเกาะอื่นๆ จำนวนมาก โดยมีเกาะลันตาเป็นเกาะใหญ่ เป็นที่ตั้งที่ทำการสถานที่ราชการ และเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป จึงขอเปลี่ยนชื่อเป็น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา กองอุทยานแห่งชาติจึงได้มีหนังสือที่ กษ 0713/205 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2532 เสนอกรมปาไม้ ซึ่งเห็นชอบให้เปลี่ยนชื่ออุทยานแห่งชาติเกาะรอก-เกาะไหง เป็น “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา”
ลักษณะภูมิประเทศ
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตาตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ประกอบด้วยเกาะ 25 เกาะ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเกาะรอก ประกอบด้วย เกาะรอกนอก และเกาะรอกใน ซึ่งเกาะรอกในมีภูมิประเทศทั่วไปเป็นหินผาสูงชันมีโขดหินที่ถูกกัดกร่อนมาเป็นเวลานานอยู่ทางทิศเหนือ ด้านที่หันสู่ทิศตะวันตกเป็นหน้าผาทอดยาว ด้านหน้าของเกาะมีความยาวประมาณ 2.4 กิโลเมตร ยอดเขาที่สูงที่สุด สูง 208 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนเกาะรอกนอกเป็นเกาะที่มีขนาดใกล้เคียงกับเกาะรอกใน ยอดเขาที่สูงที่สุด สูง 156 เมตรจากระดับน้ำทะเล บริเวณระหว่างช่องเขาจะมีที่ราบขนาดกว้างอยู่ 2 แห่ง คือ ช่องเขาหาดทะลุ และอ่าวม่านไทร สภาพธรณีของกลุ่มเกาะรอกอยู่ในยุคเพอร์เมียน-คาร์บอนิเฟอรัส มีช่วงอายุตั้งแต่ 345-230 ล้านปีมาแล้ว
กลุ่มเกาะห้า (เกาะตุกนลิมา) และเกาะหินแดง กลุ่มเกาะห้าประกอบด้วยเกาะเล็กๆ 5 เกาะ มีที่ราบเล็กน้อยบนยอดเขาของเกาะที่มีพื้นที่มาก 2 เกาะ และอีก 3 เกาะที่เหลือมีลักษณะเหมือนหินโผล่พื้นน้ำ ไม่มีพื้นที่ราบ ลักษณะทางธรณีของกลุ่มเกาะนี้ เป็นหินปูนในหินชุดราชบุรีในยุคเพอร์เมียนช่วงล่าง-ช่วงกลาง มีช่วงอายุ 280-230 ล้านปี
กลุ่มเกาะไหง ประกอบด้วย เกาะไหง และเกาะม้า ด้านหน้าเกาะทางทิศตะวันออกของเกาะไหงประกอบด้วยหาดทรายยาวเหยียด ทิศใต้ลักษณะเป็นอ่าว ด้านตะวันตกตอนเหนือมีลักษณะเป็นเขาสูงชัน ยอดเขาสูงที่สุด สูง 198 เมตรจากระดับน้ำทะเล สำหรับเกาะม้ามีลักษณะเหมือนหินโผล่พื้นน้ำ ไม่มีพื้นที่ราบ สภาพทางธรณีของกลุ่มเกาะนี้โดยรวมมีลักษณะเช่นเดียวกับกลุ่มเกาะรอก
กลุ่มเกาะลันตา ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยจำนวน 16 เกาะ ได้แก่ เกาะลันตาใหญ่ เกาะตะละเบ็ง เกาะไม้งาม เป็นต้น ลักษณะภูมิประเทศของเกาะลันตาใหญ่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน และค่อนข้างลาดชัน ที่ราบปรากฏเฉพาะบริเวณชายหาดทางตอนใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่มีความลาดชันมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึงบริเวณตอนกลางของเกาะที่มีความลาดชันมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100 เมตร ไปจนถึงยอดเขาสูงที่สุดตอนกลางของพื้นที่ที่มีความสูง 488 เมตร สำหรับเกาะอื่นๆ มีสภาพเป็นโขดหินสูงชัน ไม่มีที่ราบปรากฏ ลักษณะธรณีของบริเวณเกาะไม้งาม เกาะไม้งามใต้ มีลักษณะเป็นตะกอนน้ำพา ตะกอนชะวากทะเล และตะกอนที่ลุ่มที่ราบชายเลน ในสมัยโฮโลซีน
สำหรับบริเวณเกาะร่าปูพัง เกาะลาปูเล และเกาะตะละเบ็ง มีลักษณะธรณีโดยรวมเช่นเดียวกับกลุ่มเกาะห้า และลักษณะธรณีของบริเวณเกาะลันตาใหญ่ก็เช่นเดียวกับกลุ่มเกาะรอก บนเกาะลันตาใหญ่มีลำธารน้ำไหลซึ่งมีน้ำไหลอยู่หลายแห่ง แต่มักขาดน้ำในช่วงฤดูแล้ง โดยมีลำธารเพียง 3 สาย ที่มีน้ำไหลอยู่ตลอดปี ได้แก่ คลองจาก คลองน้ำจืด และคลองนิน
ลักษณะภูมิอากาศ
จากสถานศึกษาข้อมูลสภาพภูมิอากาศ ของสถานีตรวจวัดอากาศที่อยู่ใกล้เขตอุทยานแห่งชาติ คือ สถานีตรวจวัดอากาศเกาะลันตา อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พบว่า อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 28 องศาเซลเซียส โดยจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด 34 องศาเซลเซียส ในเดือนมีนาคม และอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุด 24 องศาเซลเซียส ในเดือนธันวาคม ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตลอดปีมากกว่า 2,100 มิลลิเมตร
พืชพรรณและสัตว์ป่า
ทรัพยากรป่าไม้มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายของพรรณพืชมาก ซึ่งสามารถจำแนกออกได้ดังนี้
ป่าดิบชื้น คิดเป็นเนื้อที่ 19.42 ตารางกิโลเมตร ปรากฏอยู่บริเวณเกาะลันตาใหญ่ ตลอดแนวเทือกเขาลันตา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของอาณาเขตของอุทยานแห่งชาติ ป่าดิบชื้นที่พบมีไม้ชั้นบน และไม้ชั้นกลางความสูงโดยเฉลี่ย 15-25 เมตร พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ เคี่ยมคะนอง ยางแดง ตะแบกนา ตะเคียนหิน เป็นต้น และมีพันธุ์ไม้จำพวกปาล์มและหวาย เป็นไม้พื้นล่างของป่า พันธุ์สำคัญที่พบ ได้แก่ กะพ้อ หวายขม หวายตะค้าทอง หวายงวย เป็นต้น
ป่าชายเลน พบบริเวณ เกาะไม้งาม เกาะไม้งามใต้ และเกาะงู เกาะเหล่านี้เป็นเกาะที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก และมีสภาพเป็นป่าชายเลนทั้งเกาะ ไม้ส่วนใหญ่มีระดับความสูงที่ใกล้เคียงกันโดยมีความสูง 5 เมตร โดยเฉลี่ยพันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ แสมขาว โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่
ป่าชายหาด พบเป็นบริเวณไม่กว้างนัก ระหว่างรอยต่อของชายหาดกับป่าดิบชื้นของเกาะไหง พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ หูกวาง หยีทะเล ผักบุ้งทะเล และเตยทะเล เป็นต้น
สัตว์ป่า แบ่งออกได้เป็น 6 ประเภทใหญ่ๆ คือ
จำพวกสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม มีจำนวน 20 วงศ์ 30 สกุล 38 ชนิดในจำนวนสัตว์ทั้ง 38 ชนิดนั้น มี 2 ชนิดได้หมดไปจากเกาะลันตาแล้ว คือ กวางป่า และเสือโคร่ง ส่วนอีกชนิดหนึ่งคือ พะยูน ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวน และอีก 2 ชนิดอยู่ในสถานะที่กำลังจะหมดไป คือ เก้ง และเสือปลา และสัตว์ที่หายากอีกชนิดหนึ่งคือ ค้างคาวมงกุฎหูโตมาร์แชล
นก มีทั้งสิ้น 58 วงศ์ 130 สกุล 185 ชนิด นกที่พบบ่อยอยู่ในอุทยานแห่งชาติ เช่น เหยี่ยวแดง นกนางนวลแกลบคิ้วขาว นกเขาเขียว เป็นต้น ส่วนนกที่พบเห็นได้ค่อนข้างยาก เช่น นกขุนแผนอกสีส้ม นกเดินดงสีเทาดำ และนกปลีกล้วยเล็ก เป็นต้น
สัตว์เลื้อยคลาน ชนิดที่พบได้ง่าย เช่น จิ้งจกหางแบน เหี้ย งูเหลือม และงูเห่าตะลาน เป็นต้น
สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก มีอยู่เพียง 2 ชนิด ชนิดที่พบเห็นได้ตามลำคลองทั่วไปคือ กบทูด และอึ่งน้ำเต้า ส่วนตามอาคารที่พักและตามแหล่งน้ำทั่วๆ ไปในป่าจะพบสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เช่น เขียดตะปาด และคางคกแคระ ชนิดที่หายากและพบได้น้อย คือ กบดอร์เรีย
ปลาน้ำจืดและปลาทะเล แหล่งน้ำจืดต่างๆ สามารถพบปลาน้ำจืด เช่น ปลาซิวใบไผ่เล็ก ปลาช่อนก้าง ปลาตะเพียนจุด เป็นต้น สำหรับปลาทะเลที่พบตามแนวปะการัง ชายฝั่งหาดหิน และปากคลองน้ำจืด เช่น ปลาโทง ปลาปากคม และปลาปักเป้าหนามทุเรียน เป็นต้น
สัตว์ในแนวปะการังปะการัง เช่น ปะการังลูกโป่ง ปะการังเขากวางขนาดใหญ่ ปะการังเห็ด ปะการังดอกไม้ ปะการังดาวใหญ่ เป็นต้น
แหล่งท่องเที่ยว

เกาะรอกนอกและเกาะรอกใน เกาะรอกนอกและเกาะรอกใน เป็นเกาะที่อยู่ใกล้เคียงกัน สามารถนั่งเรือข้ามไปมาระหว่างทั้ง 2 เกาะนี้ได้สะดวก บริเวณเกาะรอกนอก เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ มีบ้านพัก สถานที่กางเต็นท์และเต็นท์ ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักแรมบนเกาะ นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ร้านอาหารสวัสดิการ ห้องน้ำ-ห้องสุขา เส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วยการเดินทางไปเกาะรอกนอกและเกาะรอกใน สามารถเดินทางโดยเรือที่ท่าเรือศาลาด่าน บนเกาะลันตาใหญ่ จังหวัดกระบี่ หรือท่าเรือหาดปากเมง จังหวัดตรัง มีเรือเมล์ไปเกาะไหงทุกวัน เรือออกเวลา 09.00-10.00 น. ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็ถึงเกาะไหง จากเกาะไหงสามารถเช่าเรือไปเที่ยวเกาะรอกนอกและเกาะรอกใน หรือเกาะต่างๆ ที่อยู่ใกล้กัน กิจกรรม - กิจกรรมชายหาด - แค็มป์ปิ้ง - ชมทิวทัศน์ - ดำน้ำตื้น - ดำน้ำลึก - เดินป่าศึกษาธรรมชาติ
แหลมธง อยู่ทางด้านทิศเหนือหรือหัวเกาะรอกใน ด้านที่เป็นโขดหน้าผามองคล้ายเป็นเกาะเล็กๆ หากยืนมองที่หาดด้านตรงข้ามจะเห็นพระอาทิตย์ตกระหว่างช่องนั้น กิจกรรม - ชมทิวทัศน์
จุดชมทิวทัศน์เกาะรอกนอก จากหาดทะลุ ที่มีหาดทรายขาวละเอียด สามารถเดินทะลุผ่านไปอีกด้านหนึ่งของเกาะรอกนอก จะพบอ่าวโค้งคล้ายเกือกม้า สองด้านของอ่าวเป็นหน้าผาหินสูงชัน ชายหาดด้านนี้เป็นหาดหิน และน้ำลึก ไม่เหมาะสำหรับการเล่นน้ำ ตามเส้นทางเดินจะพบป้ายบอกทางไปยังจุดชมทิวทัศน์ ณ จุดชมทิวทัศน์นี้ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเกาะรอกนอกและเกาะรอกใน ยามเย็นสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้ การเดินเท้าขึ้นไปยังจุดชมทิวทัศน์ค่อนข้างชันพอสมควร นักท่องเที่ยวควรเดินด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรยืนชิดขอบหน้าผาจนเกินไป เพราะอาจเกิดอันตรายได้ กิจกรรม - ชมทิวทัศน์ - ชมพรรณไม้
อ่าวม่านไทร มีสภาพป่าผสมกันระหว่างป่าชายเลน ป่าชายหาด และป่าดงดิบ หากเดินลึกเข้าไปในป่าจะพบต้นไทรขนาดใหญ่ที่ปล่อยรากย้อยลงมาประดุจม่าน ที่มีความกว้างประมาณ 5-6 เมตร บริเวณชายหาด น้ำค่อนข้างตื้น เหมาะสำหรับการเล่นน้ำและดำน้ำดูปะการัง กิจกรรม - กิจกรรมชายหาด - ดำน้ำตื้น
อ่าวศาลเจ้า มีหาดทราย บริเวณนี้มีน้ำซับซึมออกมาในช่วงฤดูแล้ง เป็นแหล่งน้ำที่สามารถใช้ได้ตลอดปี มีศาลของชาวประมงที่สร้างขึ้นไว้สักการะบูชากิจกรรม - กิจกรรมชายหาด - ชมวัฒนธรรมประเพณี
เกาะหินห้าลูก เกาะหินห้าลูก หรือเกาะห้า หรือเกาะตุกนลิมา เป็นกลุ่มเกาะ 5 เกาะ เกาะห้าใหญ่จะมีลักษณะของทุ่งหญ้าอยู่บนสันเกาะ มีเกาะรูปคล้ายใบเรือ เป็นเกาะที่มีน้ำลอดได้เมื่อขึ้นอยู่บนสันเกาะจะมีมุมทิวทัศน์ที่สวยงาม ในบริเวณดังกล่าวมีปะการังน้ำตื้นกิจกรรม - ชมทิวทัศน์ - ดำน้ำตื้น
เกาะไหง มีชายหาดที่ยาวและเงียบสงบ เป็นแหล่งดูปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 18 กิโลเมตรกิจกรรม - กิจกรรมชายหาด - ดำน้ำตื้น
เกาะตะละเบ็ง เป็นเกาะที่มีรูปลักษณะเป็นหินปูน มีชายหาดเล็กๆ เมื่อน้ำทะเลขึ้นจะท่วมบริเวณชายหาด มีลักษณะของโพรงถ้ำอยู่ริมน้ำ เป็นที่อาศัยของนกนางแอ่นกิจกรรม - ชมทิวทัศน์
แหลมโตนด เกาะลันตาใหญ่ มีหาดทรายสวยงามอยู่ทางด้านหลังเกาะ และเกาะเล็กเกาะน้อยอยู่ใกล้เคียง เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ที่อยู่ปลายสุดของเกาะลันตาใหญ่ มีลักษณะเป็นที่ราบรูปสามเหลี่ยมปลายด้านหนึ่งยื่นออกไปในทะเล มีต้นตาลสูงเด่น อีกด้านหนึ่งเป็นเขาสูงชันที่ปกคลุมด้วยป่าดงดิบบริเวณแหลมโตนดนี้ มีบ้านพัก สถานที่กางเต็นท์และเต็นท์ ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักแรมบนเกาะ นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ร้านอาหารสวัสดิการ ห้องน้ำ-ห้องสุขา เส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วย กิจกรรม - กิจกรรมชายหาด - แค็มป์ปิ้ง - เดินป่าศึกษาธรรมชาติ
กองหินม่วงและกองหินแดง เป็นกองหินใต้น้ำอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะรอกนอกและเกาะรอกใน เป็นจุดดำน้ำลึกที่มีปะการังอ่อนสวยงามมากรวมทั้งสัตว์ทะเลนานาชนิด กิจกรรม - ดำน้ำลึก

อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด

ข้อมูลทั่วไป :
อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด อยู่ในท้องที่ตำบลบ้านเพ อำเภอเมือง และตำบลแกลง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2524 มีเนื้อที่ประมาณ 131 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นน้ำประมาณ 123 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 94 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งและเกาะต่างๆ ประกอบด้วย หาดแม่รำพึง เขาแหลมหญ้า เกาะเสม็ด เกาะกุฎี เกาะท้ายค้างคาว เกาะกรวย เกาะมะขาม เกาะเกล็ดฉลาม เกาะปลายตีน เกาะยุ้งเกลือ เกาะทะลุ เกาะสันฉลาม เกาะจันทร์ และเกาะหินขาว
การเดินทาง :
การเดินทาง สู่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด สามารถเดินทางโดยรถปรับอากาศหรือรถโดยสารธรรมดา สายกรุงเทพฯ-บ้านเพ ออกจากสถานีขนส่งเอกมัย ประมาณทุกๆชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง สำหรับการเดินทางระหว่างบ้านเพกับเกาะเสม็ด มีเรือบริการที่บ้านเพหลายท่าเรือ และมีเรือหลายขนาด บรรจุคนได้ตั้งแต่ 10-100 คน ใช้เวลาเดินทาง 25 นาที สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเช่าเรือสามารถเดินทางโดยเรือโดยสาร ซึ่งให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00-17.00 น.
การเดินทางไปเกาะเสม็ด
แผนที่เกาะเสม็ด
สิ่งอำนวยความสะดวก :
ดูที่พักบนเกาะเสม็ด
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า :
เนื่องจาก สภาพภูมิประเทศของอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด มีขนาดเล็กและมีประชาการอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นพอสมควร ทำให้มีสัตว์ป่าอยู่น้อยมาก จากการสำรวจความหลากหลายของสัตว์ป่าเมื่อปี พ.ศ. 2536 พบว่ามีสัตว์ป่าที่มีกระดูกสันหลังไม่น้อยกว่า 70 ชนิด ได้แก่ เสือปลา กระจง ชะมดแผงสันหางดำ อีเห็น ลิงแสม พังพอนธรรมดา กระต่าย ค้างคาว กระรอก งูเหลือม งูเห่า งูจงอาง งูกะปะ ตะกวด เหี้ย แย้จุด เหยี่ยวนกเขา นกยางทะเล นกชายเลนเขียว นกลุมพู นกนางนวลแกลบสีกุหลาบ นกกก นกแต้วแร้ว นกเค้าโมง
ในส่วนของทรัพยากรใต้ทะเล จะพบแนวปะการังในบริเวณรอบๆเกาะเสม็ด บริเวณหมู่เกาะกุฎี และบริเวณเกาะทะลุ แนวปะการังมีความอุดมสมบูรณ์สูงอยู่ในบริเวณ หินคันนา หินอ่าวไผ่ อ่าวเจ็ก อ่าวกิ่วหน้าใน เกาะปลายตีน เกาะกุฎี และเกาะทะลุ จะพบปะการังจำพวกปะการังแผ่นตั้ง ปะการังพุ่ม ปะการังก้อน ปะการังเขากวาง ในแต่ละชนิดจะมีมากน้อยปะปนกันไป
บริเวณหินคันนา จะพบปะการังอ่อน ปะการังแผ่นตั้ง ปะการังพุ่ม ปะการังก้อน และจะมีพวกดอกไม้ทะเล ปลาการ์ตูน หนอนดอกไม้ หนอนฉัตร
บริเวณหินอ่าวไผ่ จะพบปะการังก้อนกระจายสลับกับปะการังเขากวาง
บริเวณอ่าวเจ็ก ชายฝั่งเป็นหิน จะพบปะการังหนาแน่นในระยะห่างออกมา 45 เมตร เป็นพวกปะการังแผ่นตั้งสกุล Pavora ปะการังเขากวาง และปะการังพุ่มสกุล Acopora
บริเวณเกาะปลายตีน จะพบปะการังเขากวาง ปะการังแผ่นตั้ง ปะการังก้อนอยู่หนาแน่นและมีปะการังเห็ดปะปน
บริเวณเกาะกุฎี จะพบปะการังแผ่นตั้ง ปะการังเห็ด ปะการังก้อน
บริเวณเกาะทะลุ จะพบปะการังแผ่นตั้ง และปะการังก้อน



จุดเด่นที่น่าสนใจ :
หาดแม่รำพึง-บ้านก้นอ่าวอยู่ห่างตัวเมืองระยองประมาณ 11 กิโลเมตร จากถนนสุขุมวิทมีทางแยกขวาที่บ้านตะพง กม. 229 หาดแม่รำพึง เป็นชายหาดที่มีความสวยงาม ยาวประมาณ 12 กิโลเมตร มีความลาดชันน้อย เหมาะแก่การเล่นน้ำ บริเวณชายหาดร่มรื่นด้วยต้นไม้ เหมาะแก่การพักผ่อน
เขาแหลมหญ้าอยู่เลยบ้านก้นอ่าวไปเล็กน้อยตามเส้นทางไปบ้านเพ มีลักษณะเป็นเขาดินลูกรังเตี้ยๆ มีเนื้อที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร มีบางส่วนเป็นแหลมยื่นออกไปในทะเล มีชายหาดเป็นอ่าวเล็กๆที่มีบรรยากาศเงียบสงบ ด้านทิศตะวันตกเป็นหาดทรายกว้างและยาว เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานฯ
เกาะเสม็ดตั้งอยู่ในเขตตำบลเพ อำเภอเมือง อยู่ห่างจากชายฝั่งบ้านเพประมาณ 6.5 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร ลักษณะเป็นเกาะรูปสามเหลี่ยม สภาพเกาะมีสันเขาเป็นแกนยาวจากตัวเกาะด้านเหนือมาทางใต้ ฝั่งตะวันตกของเกาะเป็นหน้าผาสูงชันและลาดชันลงสู่ฝั่งตะวันออกที่มีชายหาดเว้าแหว่ง ทำให้เกิดหาดที่สวยงามหลายแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ทางด้านเหนือและตะวันออกของเกาะ บริเวณปลายแหลมด้านใต้มีเกาะเล็กๆอยู่ใกล้ๆ 3 เกาะคือ เกาะจันทร์ เกาะสันฉลาม และเกาะหินขาว ซึ่งเป็นหินล้วนไม่มีต้นไม้ เป็นที่อาศัยและวางไข่ของนกนางนวล อาจเป็นเพราะที่เกาะเสม็ดนี้มีหาดทรายขาวอยู่ทั่วไป จึงได้รับการขนานนามในกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ว่า เกาะแก้วพิศดาร ดังที่ปรากฏในวรรณคดีไทยเรื่อง พระอภัยมณี และเหตุที่ชื่อว่าเกาะเสม็ดก็เพราะมีต้นเสม็ดขาวและเสม็ดแดงขึ้นอยู่มาก ชาวบ้านนำมาใช้เป็นไต้จุดไฟ สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะเสม็ดมีอยู่หลายแห่งประกอบด้วยอ่าวและหาดทรายสวยงามมากมาย ได้แก่
เกาะกุฎีเป็นเกาะหนึ่งในวรรณกรรมของสุนทรภู่ อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะเสม็ด ห่างจากฝั่งประมาณ 6 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ และมีเกาะขนาดเล็กเป็นบริวาร 2 เกาะ คือ เกาะท้ายค้างคาว และเกาะถ้ำฤาษี เกาะกุฎีเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ มีธรรมชาติที่เงียบสงบ หาดทรายสวยงาม รอบๆเกาะมีแนวปะการังตลอดชายฝั่งเหมาะแก่การดำน้ำ
เกาะกรวย เกาะขาม และเกาะปลาตีนเป็นเกาะที่อยู่ทางตอนเหนือของเกาะกุฎี เป็นเกาะที่มีธรรมชาติสวยงาม มีแนวหาดทราย เฉพาะที่เกาะขามและเกาะปลาตีน สภาพใต้ทะเลโดยรอบมีแนวปะการังที่สวยงาม

อุทยานผาเเต้ม

ข้อมูลทั่วไป :
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม มีเนื้อที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอโขงเจียม อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ประกอบด้วยสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่านานาชนิด มีจุดเด่นที่สวยงามตามธรรมชาติมากมาย เช่น ผาชัน น้ำตกสร้อยสวรรค์ เสาเฉลียง ถ้ำปาฏิหารย์ ภูนาทาม เป็นต้น อีกทั้งยังได้มีการค้นพบภาพเขียนสีโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว 3,000-4,000 ปี ที่บริเวณผาขาม ผาแต้ม ผาเจ็ก ผาเมย และถือได้ว่าเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรก ในประเทศไทยที่มีแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทย และประเทศลาวเป็นแนวเขตอุทยานแห่งชาติที่ยาวที่สุด ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ป่าเขาทางฝั่งประเทศลาวได้เป็นอย่างดี
อุทยานแห่งชาติผาแต้มมีเนื้อที่ประมาณ 340 ตารางกิโลเมตร หรือ 212,500 ไร่
การเดินทาง :
จากจังหวัดอุบลราชธานีไปยังอำเภอโขงเจียม ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร แล้วเดินทางไปตามเส้นทางยุทธศาสตร์สายโขงเจียม-เขมราฐ 15 กิโลเมตร เลี้ยวขวาต่อไปอีก 5 กิโลเมตร จะถึงภูผาขาม ท้องที่บ้านหนองผือน้อย ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ปัจจุบันเส้นทางนี้เป็นถนนลาดยางไปสิ้นสุดอยู่บนลานภูผาขาม
สิ่งอำนวยความสะดวก :
ปัจจุบันยังไม่มีบ้านพักสำหรับบริการนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะค้างแรมต้องเตรียมอุปกรณ์ไปเอง
สำหรับรายละเอียดอื่นๆติดต่อสอบถามได้ที่ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ตู้ ปณ.6 ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี 34220 หรือที่ส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้ ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ลักษณะภูมิประเทศ :
สภาพภูมิประเทศทั่วไปเป็นที่ราบสูงและเนินเขาสูงชัน ลักษณะสูงๆต่ำๆสลับกันไปทั่วพื้นที่ ลักษณะทางธรณีวิทยาเกิดจากการแยกตัวของผิวโลก เป็นเทือกเขาเดียวกับเขาพนมดงรักหรือดงเร็กซึ่งเขาพระวิหารตั้งอยู่ ตามแผนที่ทางธรณีวิทยาใช้ชื่อหน่วยภูพานและพระวิหาร เป็นภูเขาหินทราย มีที่ราบอยู่บ้างแถบริมห้วยและตามแนวแม่น้ำโขง ในส่วนของที่ราบสูงแต่ละแห่งมีเนื้อที่ประมาณ 800-1,300 ไร่ ห่างจากลำน้ำประมาณ 1-2 กิโลเมตรจะเป็นหน้าผาสูงชัน พื้นที่ทั่วไปจะมีหินทรายโผล่เป็นลานหินกระจัดกระจายทั่วพื้นที่ ดินที่พบในแถบที่ราบลุ่มเป็นดินร่วนปนทรายและดินเหนียว แถบริมแม่น้ำมีตะกอนและฮิวมัสมาก ส่วนบริเวณที่ราบสูงเป็นพวกดินทราย ดินลูกรัง มีลำห้วยน้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก ที่สำคัญเช่น ห้วยใหญ่ ห้วยสร้อย ห้วยหละหลอย ห้วยพอก ฯลฯ ห้วยต่างๆเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขง
ลักษณะภูมิอากาศ :
สภาพภูมิอากาศแบ่งออกเป็น 3 ฤดู ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือน มิถุนายน-กันยายน ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือน ตุลาคม-กุมภาพันธ์ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม
อุณหภูมิในแต่ละฤดูจะแตกต่างกันอย่างมาก ในฤดูฝนจะมีพายุฝนฟ้าคะนองอยู่บ่อยๆ ในฤดูหนาวอากาศจะหนาวเย็นอย่างแห้งแล้ง ความชื้นในบรรยากาศมีน้อย ในฤดูร้อนอากาศจะร้อนจัด ต้นไม้ใบหญ้าแห้งแล้ง
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า :
สภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าเต็งรังเสียส่วนใหญ่ ตามพื้นที่ที่มีหินโผล่ลักษณะเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้แคระแกรน แต่มีความสวยงามตามธรรมชาติ พันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ เต็ง รัง เหียง ประดู่ และเหมือดต่างๆ ไม้พื้นล่างเป็นพวกไผ่ป่า หญ้าต่างๆ ข่อยหิน และยังมีดอกไม้ที่สวยงามขึ้นอยู่ตามซอกลานหินทั่วไป เช่น หยาดน้ำค้าง แดงอุบล เอนอ้า เหลืองพิสมร ตลอดจนมีทุ่งดอกไม้จำพวกดุสิตา สร้อยสุวรรณ ทิพยเกษร กระดุมเงิน ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ สภาพป่าจะเปลี่ยนเป็นป่าดิบแล้งในบริเวณที่ราบลุ่มแถบริมห้วยหรือริมแม่น้ำ เนื่องจากมีความชุ่มชื้นพอประมาณตลอดปี พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ ยาง กระบาก รกฟ้า ตะแบกเลือด เขล็ง แดง ไม้พื้นล่างเป็นพวกไม้เถา ไม้เลื้อยต่างๆ นอกจากนี้ยังพบป่าสนสองใบที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ กระจัดกระจายในส่วนที่เป็นพื้นที่ราบบนภูต่างๆทั่วพื้นที่
สัตว์ป่าประเภทเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ยังไม่พบ แต่ขนาดเล็กลงมาที่พบได้ทั่วไปได้แก่ อีเห็น สุนัขจิ้งจอก กระต่าวป่า อีเก้ง ชะมด บ่าง ในฤดูแล้งเมื่อระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลงมาก จะพบเห็นสัตว์ประเภท หมูป่า เลียงผา ว่ายน้ำข้ามมาจากฝั่งประเทศลาวอยู่เสมอๆ เนื่องจากอาณาเขตบางส่วนอยู่ในลำน้ำโขงมีปลาน้ำจืดชนิดต่างๆมากมาย นกนานาชนิดที่พบเห็นได้แก่ นกขุนทอง นกยูง เหยี่ยว อีกา นกขุนแผน นกกระเต็น เป็นต้น

จุดเด่นที่น่าสนใจ :
ผาแต้มเมื่อดูจากแม่น้ำโขงจะเห็นเป็นหน้าผาสูงที่สวยงามตามธรรมชาติ ในบริเวณที่เป็นหน้าผาจะปรากฏภาพเขียนสีโบราณโดยฝีมือมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เรียงรายตามความยาวของหน้าผาติดต่อกันยาวประมาณ 180 เมตร มีไม่ต่ำกว่า 300 ภาพ ซึ่งเป็นจำนวนภาพเขียนสีโบราณที่มากที่สุดเท่าที่เคยค้นพบในประเทศไทยและในต่างประเทศ
ผาเจ็ก-ผาเมยลักษณะเหมือนบริเวณผาแต้ม และปรากฏภาพเขียนสีโบราณเช่นเดียวกัน ถึงแม้ภาพเขียนจะมีจำนวนน้อยกว่าก็ตาม แต่ลักษณะภาพเขียนที่พบแตกต่างกัน
ภูผาขามเป็นภูเขาหินทราย ข้างบนเป็นลานหินเรียบ ด้านล่างเป็นบริเวณที่ปรากฏภาพเขียนสีโบราณ เมื่อยืนดูอยู่ด้านบนจะเห็นทิวทัศน์ตามริมแม่น้ำโขงสุดสายตา เป็นทิวทัศน์ของป่าเขาและลำน้ำที่สวยงามมาก
เสาเฉลียงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำ สายลมและแสงแดด มีลักษณะเป็นแท่งหินตั้งขึ้น มีส่วนบนเป็นแผ่นหินวางอยู่โดยไม่ติดกัน มองดูคล้ายดอกเห็ด
ภูกระบอเป็นภูผาหินทราย ที่มีเสาเฉลียงเป็นจำนวนมากตั้งเรียงรายกระจัดกระจายทั่วพื้นที่ ดูลักษณะคล้ายสวนหิน
ภูโลงได้มีการค้นพบโลงศพของมนุษย์อยู่ภายในซอกหิน ซึ่งไม่ถูกแดดถูกฝนอยู่บนภูโลง เข้าใจว่าเป็นโลงศพของมนุษย์สมัยก่อน ส่วนของกระดูกและสิ่งของภายในโลงหายไปก่อนที่จะค้นพบ ลักษณะของโลงใหญ่มาก ไม้ที่ใช้ทำโลงบางส่วนผุพังไปตามธรรมชาติ แต่ยังคงสภาพส่วนใหญ่อยู่
ถ้ำปาฏิหารย์โดยปกติภูเขาหินทรายจะไม่ปรากฏถ้ำที่แบ่งเป็นหลืบเป็นห้อง แต่ปรากฏว่าถ้ำปาฏิหารย์แบ่งเป็นหลืบเป็นห้องและมีความยาวมาก
ภูนาทามเป็นป่าสนสองใบตามธรรมชาติที่ขึ้นอยู่บริเวณหน้าผา เมื่อมองทะลุป่าสนสองใบนี้ไปจะเห็นภูเขาหมึนสลับซับซ้อนของประเทศลาวเป็นฉากอยู่ข้างหลัง ตัดกับท้องฟ้าที่อยู่ด้านบน และลำน้ำโขงที่อยู่ด้านข้าง
น้ำตกสร้อยสวรรค์เป็นน้ำตกที่สวยงาม เกิดจากลำธาร 2 สาย คือ แซสร้อย และแซไผ่ ไหลตกลงมาบรรจบกัน ดูลักษณะคล้ายสายสร้อยคอ
นอกจากนี้ยังมีน้ำตกที่สวยงามอีกหลายแห่ง เช่น น้ำตกลงรู น้ำตกทุ่งนาเมือง และการนั่งเรือท่องไปตามแม่น้ำโขงจะทำให้เห็นทัศนียภาพที่แตกต่างกันไปของสภาพภูมิประเทศและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่ยังทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นทั้งสองฝั่งของลำน้ำ

ท่องเที่ยว ทะเล ไทย

แหล่งท่องเที่ยว ที่น่าสนใจ ทางทะเล ของ ประเทศไทย
เกาะสวรรค์ เกาะช้าง - เกาะกูดเกาะช้างมีความอุดมสมบรูณ์ไปด้วยป่าดงดิบและลำคลองลัดเลาะไปตามทางสู่ป่าชายเลนร่มครึ้มมีน้ำทะเลที่ใสมองเห็นฝูงปลาและปะการัง นี่คืออัญมณีมรกตกลางท้องทะเลไทย
" ทะเลใน " แอ่งมรกต หมู่เกาะอ่างทองเป็นแอ่งน้ำสีมรกตสดใสโอบล้อมไปด้วยเทือกเขาเขียวขจี มีอุโมงค์ใต้น้ำเชื่อมต่อกับท้องทะเลภายนอก หาดทรายขาวบริสุทธิ์น้ำทะเลใสสะอาด มีฝูงปลาเป็นเพื่อนดำน้ำดูปะการังหลากสีสัน
ปะการัง น้ำตื้น - น้ำลึก หมู่เกาะสุรินทร์แหล่งดำน้ำชมปะการังน้ำตื้นที่อุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ที่สุดของเมืองไทย จุดดำน้ำลึกชื่อก้องโลก ที่กองหินโสโครก"ริเชลิว" อันเป็นจุดดำน้ำลึกที่มีสีสันของความงดงามด้วยสรรพชีวิต และเป็นที่ที่ฉลามวาฬ ปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มักจะแวะเวียนเข้ามาอยู่เสมอ
หมู่เกาะ สิมิลันแหล่งดำน้ำที่มีความงดงามติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก เต็มไปด้วยหมู่ปลาหลากสีสัน ปะการัง กัลปังหาสีสดใส และความตื่นตาตื่นใจของนักดำน้ำลึก จากการพบกับเจ้าฉลามครีบเงิน ฉลามเสือดาว
มหัศจรรย์อันดามันทะเลใต้ หมู่เกาะตะรุเตาหมู่เกาะตะรุเตา สุดยอดของธรรมชาติที่ได้สร้างสรรค์ความงดงามของหมู่เกาะน้อยใหญ่ 51 เกาะ ความสวยงามแตกต่างกันไปตามธรรมชาติที่เสกสรรปั้นแต่งให้เกิดขึ้น เช่น ก้อนหินสีดำเงางามที่มาแทนที่ผืนทรายบนเกาะหินงาม
มรกตแห่งท้องทะเล หมู่เกาะพีพีหาดทรายขาวสะอาดน้ำทะเลสีมรกตสดใสที่ถูกโอบกอดไว้ด้วยขุนเขา และหน้าผาที่สูงชัน พร้อมกับความสดชื่นของพรรณไม้นานาชนิด อันเป็นมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหลของหมู่เกาะพีพี อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ เช่น อ่าวมาหยา และ ทะเลแหวก